3 ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการลงทุน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในการลงทุนเองนั้น ผมคิดว่าความสำเร็จที่ใหญ่หลวง หรือการที่จะเป็น
“ผู้ชนะ” ถ้าวัดจากการที่จะกลายเป็นนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่เป็นร้อย
พัน หรือแม้แต่หมื่นล้านบาทนั้น อยู่ที่การมี “แก้ว 3 ประการของการลงทุน”
มากน้อยแค่ไหน แก้วที่หนึ่งก็คือ เม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นและที่จะเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ นอกเหนือจากการลงทุน แก้วประการที่สองก็คือ ความสามารถในการสร้างผลผลตอบแทนการลงทุนแบบทบต้นของนักลงทุน และแก้วประการที่สามก็คือ ระยะเวลาในการลงทุนที่ต่อเนื่องยาวนาน ถ้าใครมีแก้วทั้ง 3 ประการดังกล่าวและใช้มันอย่างเต็มที่แล้ว โอกาสที่จะ “ชนะ” หรือประสบความสำเร็จในการลงทุนเหนือกว่าคนอื่นก็มีสูง
ลองมาดู “แก้ว” ทีละลูก สมมติว่าคนคนหนึ่ง
มีเงินค่อนข้างมากจากการทำธุรกิจ
เขาตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเนื่องจากมองว่าธุรกิจที่ทำอยู่กำลังตกต่ำ
ลงและเขาอาจจะต้องเลิกธุรกิจในไม่ช้า
แต่เขามีเงินสดที่เก็บสะสมไว้สามารถนำมาลงทุนได้ถึง 100 ล้านบาท
นี่คือเขามีแก้วลูกแรก โชคไม่ดี เขาไม่มีความรู้ในการลงทุนเพียงพอ ดังนั้น
สิ่งที่เขาหวังได้จากการลงทุนก็คือ
การซื้อกองทุนรวมหุ้นซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวได้แค่ประมาณ 8%
ต่อปีแบบทบต้น นั่นคือ เขาไม่มีแก้วลูกที่สอง เช่นเดียวกัน เขาอายุ 50
ปีแล้ว ถ้าคิดว่าเขาจะลงทุนจนกระทั่งอายุแค่ 60
ปีก็จะเลิกเพื่อเกษียณและถอนเงินไปใช้ ดังนั้น
ระยะเวลาการลงทุนของเขาก็มีเพียง 10 ปี ดังนั้น แก้วลูกที่สามเขาก็ไม่มี
ผลก็คือ ในวันแรกที่เขาเริ่มลงทุน เขาก็อาจจะเป็นนักลงทุน “รายใหญ่” ทันที
แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีที่เขาเลิก พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็น 215 ล้าน
แต่ในวันนั้นและที่อาจจะบันทึกในความทรงจำต่อไปในอนาคต
เขาก็อาจจะเป็นแค่คนที่มีเงินพอสมควรเท่านั้นในแวดวงนักลงทุนที่มุ่งมั่น
ทั้งหลาย
สมมติว่าแทนที่จะลงทุนในกองทุนรวม
เขาได้ศึกษาและมีความรู้ในการลงทุนเป็นเยี่ยมและมีเทคนิคที่ดีมากในการลงทุน
เรียกว่าเป็น “เซียน” ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่หุ้นบูมมาก ดังนั้น
เขาสามารถลงทุนจนได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึงปีละ 40% โดยเฉลี่ยในระยะเวลา 10
ปี ผลก็คือ เงิน 100 ล้านบาทกลายเป็น 2,892 ล้านบาท
พอร์ตการลงทุนระดับนี้น่าจะทำให้เขาถือเป็นระดับนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นที่
กล่าวขวัญและจดจำกันในแวดวงนักลงทุนกันพอสมควรทีเดียว อย่างไรก็ตาม
เงินในระดับนี้ ถ้าพูดในวันนี้ก็คงต้องบอกว่ามากทีเดียว
แต่ถ้าไปพูดกันในอีก 10
ปีข้างหน้าหรือในอนาคตที่ยาวไกลออกไปก็ยังไม่น่าจะถือเป็น “ตำนาน”
ที่คนรุ่นหลังจะต้องจดจำหรือบันทึกไว้
เพราะในอนาคตก็จะมีนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ และมากกว่า
3,000 ล้านบาท และนั่นก็น่าจะเป็นคนที่มี “แก้วทั้ง 3 ประการของการลงทุน”
สมมุติต่อไปว่าแทนที่เขาจะมีอายุ 50 ปี
เขากลับเป็นลูกของเจ้าของธุรกิจที่ได้เริ่มศึกษาการลงทุนตั้งแต่ยังเรียนไม่
จบมหาวิทยาลัย เขาเคยลงทุนด้วยเงินเพียง 1-2
ล้านที่ขอมาจากพ่อและประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงมาก หลังจากนั้น
ทางบ้านก็มั่นใจและในที่สุดให้เงินเขามาลงทุนถึง 100
ล้านบาทเมื่อเขาอายุเพียง 25 ปี ความสามารถของเขานั้น
เพียงพอที่จะทำให้เขาสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวได้สุดยอดขนาด “น้อง ๆ
บัฟเฟตต์” ที่ 20% ต่อปี และเขามีเวลาลงทุนยาวมากถึง 35 ปี ติดต่อกัน
ผลก็คือ ในวันที่เขาอายุ 60 ปี พอร์ตของเขาจะโตขึ้นเป็น 59,066 ล้านบาท
เขากลายเป็น “ตำนานนักลงทุนไทย” คนหนึ่งที่มีพอร์ต “มหึมา”
ที่ทุกคนรู้จักและสื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงเช่นเดียวกับนักลงทุนอีกหลายคนที่
อาจจะมี “แก้ว 3 ประการ” เช่นเดียวกัน
แก้วแต่ละลูกนั้น
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไขว่คว้าได้ด้วยตนเอง เงินเริ่มต้นนั้น
ถ้าไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวย โอกาสที่จะมีแก้วลูกนี้ก็ยาก
จริงอยู่คนบางคนอาจจะหาเงินได้มากจากการทำงานหรือทำธุรกิจอื่น
แต่เขาก็มักจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าจะได้เงินเดือนสูงมากๆ
หรือธุรกิจจะมีเงินสดมาให้ลงทุนได้มาก ดังนั้น
แก้วลูกนี้ส่วนใหญ่แล้วก็มาจาก “โชค” ที่ “เกิดมารวย”
แก้วลูกที่สองคือฝีมือในการลงทุนนั้น
เป็นแก้วที่สามารถสร้างขึ้นได้หรือคว้ามาได้ด้วยการศึกษาพยายามและการมี
ทัศนะคติในการลงทุนที่ถูกต้อง
ผมเองรู้สึกว่าคนจำนวนมากมีศักยภาพที่จะเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถสูงได้
ปัญหาก็คือเรื่องของอารมณ์และจิตใจที่จะต้องมุ่งมั่นและมีศรัทธาต่อการลงทุน
ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วซึ่งเป็นเรื่องยากเมื่อต้องอยู่กับภาวะความผันผวน
ของตลาดหุ้นที่มักทำให้ความคิดไขว้เขวไป
สุดท้ายก็คือ
ระยะเวลาในการลงทุนที่เป็น “แก้วลูกที่สาม”
นี่คือแก้วที่เราอาจจะทำอะไรกับมันไม่ได้มากนัก ถ้าเราอายุ 50 ปีแล้ว
โอกาสที่เราจะมีแก้วลูกนี้ก็น้อยมาก จริงอยู่
ในอนาคตคนอาจจะมีสุขภาพดีและอายุยาวขึ้นเป็น 100 ปี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น
คนอื่นที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปี ก็จะมีระยะเวลาลงทุนยาวกว่าคุณ 25
ปีอยู่ดี อย่างไรก็ตาม
การรักษาสุขภาพให้ดีก็อาจจะช่วยให้ระยะเวลาการลงทุนยาวขึ้นและเพิ่มคุณค่า
แก้วลูกนี้ได้ แต่ประเด็นสำคัญจริงๆ ในเรื่องของแก้วลูกนี้ก็คือ
คนจำนวนมากที่มีแก้วลูกนี้อยู่ นั่นคือ
เขามีอายุน้อยและถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่เริ่มมีรายได้หรือมีเงินเลย
เขาก็มีแก้วลูกที่สามโดยอัตโนมัติ
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เขามักคิดว่า
การลงทุนเป็นเรื่องของคนที่มีครอบครัวและต้องสร้างฐานะ ดังนั้น
เขาจึงไม่ได้คิดลงทุนจนกระทั่งแก้วที่มีค่า “หลุดลอย” ไป
ข้อสรุป
ทั้งหมดก็คือ แก้ว 3 ประการของการลงทุนนั้น
ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะไขว่คว้ามาได้หมด มีบางลูกคว้าได้ บางลูกต้องอาศัยดวง
ความ “สว่าง” ของลูกแก้วเองก็ไม่เท่ากัน คนที่เริ่มต้นด้วยเงิน 100
ล้านบาทต้องถือว่ามีลูกแก้วแล้ว แต่บางคนอาจจะเริ่มด้วยเงิน 500
ล้านบาทซึ่งเป็นแก้วที่ “สว่างจ้า” กว่า 100 ล้านบาท
ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยระยะยาวที่ทำได้ถึง 15% ต่อปีผมก็ถือว่ามีแก้วแล้ว
แต่คนที่ทำได้ 20% ต่อปีก็มีแก้วที่สว่างกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
หน้าที่ของเราในฐานะของนักลงทุน ถ้ามีลูกแก้ว
เราต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์เต็มที่
ถ้าไม่มีเราก็ต้องพยายามเพิ่มคุณภาพของแก้วลูกนั้นถ้าทำได้
และเมื่อทำเต็มกำลังแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ “ปล่อยวาง”
อย่าไปคิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายว่า เราจะรวยเท่าไรหรือจะทำได้จริงไหม
การลงทุนเป็นเรื่องระยะยาวและเป็นเรื่องของชีวิต เป้าหมายจริงๆ ของเราก็คือ
มีความสุขในทุกเวลาที่เดินไป
ขอบคุณจากเว็บ http://thailandinvestorclub.com/index.php?topic=26878.msg297875;topicseen#msg297875
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น